คงคามหานที 4,000 ปีไม่เคยหลับใหล

หลังจากที่ผมเดินทางกลับมาจากพาราณสี วันแรกของการทำงาน  มีคำถามมากมายจากเพื่อนๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกับทริปที่ผ่านๆ ทำให้ผมรู้สึกการเดินทาง 3 วัน 2 คืนในทริปนี้ เป็นการเดินทางที่มีคุณค่ามากครั้งนึงที่ได้เดินทางมาสัมผัส กับวัฒนธรรมที่สวยงาม ประเพณี ผู้คน ความเป็นมิตร เพื่อน อาหารการกิน และอีกหลายต่อหลายอย่างที่ผมหาได้จากที่นี่

” คงคามหานที 4,000 ปี ไม่เคยหลับใหล “

 

 

ทำความรู้จักพาราณสี 

เมืองพาราณสี ตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐนี้มีประชากรเกือบ 200 ล้านคน ผสมผสานด้วยศาสนา และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธในอดีต ความรู้สึกของผมตอนที่เตรียมแผนการเดินทาง มีความตื่นเต้นมาก เหมือนเรากำลังเปิดหน้าต่อไปของบทเรียน ที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก

 

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

  • การเดินทางไปประเทศอินเดีย ต้องมี Visa ซึ่งตอนนี้สามารถยื่นขอวีซ่า ออนไลน์ได้เลย Visa Online(E-Visa) คลิกที่นี่
  • ยังไม่มีบินตรงระหว่างกรุงเทพ และพาราณสี จำเป็นต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ นิว เดลี ก่อนต่อไปยังเมืองพาราณสี
  • มาตรฐานเวลาอินเดีย GMT+5:30 ช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง
  • 1 บาท(THB) =  2.1 รูปี(INR) โดยประมาณ
  • สนามบินในประเทศอินเดีย อนุญาตเฉพาะผู้ที่เดินทาง เข้ามาภายในตัวอาคารเท่านั้น ญาติ เพื่อน และคนที่ไม่ได้เดินทาง ต้องรออยู่ด้านนอก
  • จำเป็นต้องพิมพ์ E-Ticket หรือบันทึกตั๋วในไว้โทรศัพท์ เพราะต้องใช้แสดงให้เจ้าหน้าที่สนามบินดูเวลาเข้าภายในอาคารขาออก (Departure) (ขาเข้าไม่ต้องใช้)
  • เวลาผ่านจุด Security หรือจุดตรวจความปลอดภัย ก่อนเดินไปยังเกท ต้องแสดง Boarding Pass ที่เป็นกระดาษทุกครั้ง เพื่อประทับตรา ไม่สามารถใช้ E-Boarding Pass ได้ทุกกรณี

 

ถ้ากำลังคิดว่า คนเดียวคงไปไม่ได้หรอก …ผมอยากให้ล้มเลิกความคิดนั้นซะ! เพราะ

“คนเดียวก็เที่ยวได้”

บทที่ 1 : ออกเดินทางสู่ประเทศอินเดีย

ทริปนี้ผมเดินทางกับสายการบิน Jet Airways เป็นสายการบินของอินเดีย ที่ครอบคลุมทุกจุดหมายปลายทางในอินเดีย ง่ายต่อการจัดเวลาเดินทาง โดยเคาน์เตอร์เช็คอินอยู่ที่ Row P ***ต้องมาเช็คอินที่เคาน์เตอร์ก่อนออกเดินทางล่วงหน้า 3 ชั่วโมงนะครับ

 

แผนการเดินทาง

ขาไป : Bangkok(BKK) -> New Delhi(DEL) -> Varanasi(VNS)

ขากลับ : Varanasi(VNS) -> New Delhi(DEL) -> Bangkok(BKK)

 

 

 

 

*** การเดินทางไปยังพาราณสี เราต้องบินไปต่อเครื่องที่ นิว เดลี ก่อน และจึงบินต่อไปยัง พาราณสี ใช้เวลาประมาณ 4.30 ชั่วโมง ***

 

 

เส้นทางกรุงเทพ-นิว เดลี ของสายการบิน Jet Airways  ให้บริการด้วยเครื่อง Boeing 737-900ER รองรับผู้โดยสารได้ถึง 184 คน แบ่งเป็น

  • Premiere (Business class) 12 ที่นั่ง
  • Economy 172 ที่นั่ง

 

Welcome Drink

เมื่อนั่งประจำที่ลูกเรือจะนำ Welcome Drink มาต้อนรับ มีหนังสือพิมพ์ และนิตยสารให้เลือกอ่านด้วยครับ

Premiere Menu

หลังจาก Welcome Drink ก็จะเป็นเมนูอาหาร พร้อมเครื่องดื่ม ที่ลูกเรือนำมาให้เลือกไปพลาง ๆ ระหว่างรอออกเดินทาง ซึ่งผมเลือก French Toast ไป กับ White Wine และขอกาแฟ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องลง มาลุ้นกันว่าลูกเรือจะลืมไหม

หลังจากที่เครื่องขึ้นแล้ว ได้เวลาอาหาร ลูกเรือจะมาปูโต๊ะอาหารให้ และมาพร้อมกับอาหารจานแรกคือผลไม้ ก่อน main course จะมาผมสั่งอาหารเช้าซีเรียลเพิ่มอีกที่นึง

 

บริการ Jet Screen 

เจ็ท สกรีน คือบริการ In-flight entertainment ผ่าน Wi-Fi  สำหรับอุปกรณ์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์พกพาของเราเอง มีทั้งเพลง ภาพยนตร์สากล หรือบอลลี่วูดก็มีให้ดูกันจุใจ ตลอดการเดินทางครับ

 

 

สำหรับสินค้าปลอดภาษีก็มีให้บริการเช่นกันนะครับ สามารถสอบถามจากพนักงานได้เลย

 

กาแฟมาตามนัด 😀

ก่อนงีบก็แอบลุ้นนะ ว่าลูกเรือจะนำกาแฟมาให้ตามที่ตกลงไว้ หรือเปล่า….แต่ 1 ชั่วโมงก่อนเครื่องลงลูกเรือเดินมาปลุกผม พร้อมกับกาแฟหอมๆ ครับ

 

Landed and Welcome to India

เราใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ประเทศอินเดีย แล้วตรงนี้เรามีเวลาอีก  ประมาณ 3 ชั่วโมง ในการต่อเครื่อง ซึ่งกำลังดี ไม่น้อย ไม่มากจนเกินไป ยังพอมีเวลาให้เดินดูอะไรต่าง ๆ แต่ถ้าหิวก็มีร้านอาหารบริเวณชั้นลอยขายอยู่มากมายครับ

 

ภายในท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี มีประติมากรรม บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เยอะมากอีกแห่งนึง ที่ผมชอบเพราะบอกเล่าวัฒนธรรมของคนอินเดียได้เป็นอย่างดี

 

 

อันนี้ไม่เขียนถึงไม่ได้ คือเก้าอี้นอน หน้าเกท

คือปกติหน้าเกทจะมีเก้าอี้ไว้รองรับ ผู้โดยสารทั่วไปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่นี่มีเก้าอี้นอน ประจำหน้าเกทเลย ไม่ต้องเดินไปไหนไกลให้วุ่นวายครับ ผมสังเกต ถึงคนจะเยอะ แต่ไม่วุ่นวายครับ มีระบบการจัดการที่ดีทีเดียว

 

เดินทางกันต่อจาก New Delhi มุ่งหน้าสู่เมือง Varanasi

บ่าย 2 โมงครึ่ง เราเดินทางกันต่อในเที่ยวบิน 9W 820 สู่เมืองพาราณสี เป้าหมายปลายทางของเราในทริปนี้ ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งครับ เดินทางด้วยเครื่อง Boeing 737-800 ในชั้น Economy ให้ความสะดวกสบายไม่อึดอัด ส่วนเมนูอาหารมีให้เลือกเป็นเมนูปกติ และแบบมังสวิรัติครับ

 

 

 

Welcome to Varanasi (Lal Bahadur Shastri International Airport )

ใช้เวลาบินเพียงชั่วโมงเศษก็มาถึง เมืองพาราณสีครับ ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ผมแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ตามนี้ครับ

  • นั่งรถเข้าเมือง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จริง ๆ ระยะทางไม่ไกลครับ แต่ว่าสภาพถนน และการจราจรค่อนข้างติดขัด ไม่สามารถทำความเร็วได้
  • เช็คอิน และเอากระเป๋าไปเก็บที่พัก
  • ไปดูพิธีบูชาแม่น้ำคงคา หรืออารตีไฟ ประมาณ 6 โมงเย็น

 

เดินทางเข้าเมือง

จากสนามบินเราต้องนั่งรถเข้าเมืองระยะทาง 25 กิโลเมตรโดยประมาณ สามารถใช้บริการรถแท็กซี่ของสนามบินได้เลย ราคาอยู่ที่ 900 รูปี เป็นราคาที่มีการขึ้นป้ายชัดเจนเลย แต่ถ้าอยากได้ถูกหน่อย สามารถเดินออกมานอกอาคารจะมีคนเดินมาเสนอราคาเต็มไปหมด เริ่มตั้งแต่ 500 รูปี ขึ้นไปครับ หรือจะให้ทางที่พักของเราจัดหารถมารับก็ได้ราคาก็จะถูกลงไปอีก

 

 

 

ถึงที่พัก Mari Gold Guest House

 

Mari Gold Guest House

ตอนที่หาข้อมูลมีนักท่องเที่ยวหลายคนแนะนำ และให้คะแนนที่พักอยู่ในระดับดีมาก และราคาไม่แพง 2 คืนราคาอยู่ที่ 1,400 รูปี หรือเฉลี่ยตกคืนละ 350 บาทเท่านั้น และจากที่เดินดู ผมว่าข้อดีคือตั้งอยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวพลุกพล่าน ร้านอาหารอยู่ไม่ไกล มีให้เลือกหลากหลาย …หลากหลายจริง ๆ นะ และที่สำคัญคือ จาก Guest house เดินไปริมแม่น้ำคงคา ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที

  • ห้องพักเป็นพัดลมไม่มีแอร์ แต่อากาศไม่ร้อนนะครับ กลับรู้สึกเย็นสบาย
  • สภาพห้องพักถึงจะดูเก่า แต่ก็สะอาดใช้ได้ คือปกติผมเป็นภูมิแพ้จมูกจะไว แต่กลับไม่เป็นไรสำหรับที่นี่
  • ห้องน้ำสะอาด มีเครื่องทำน้ำอุ่น
  • ปลั๊กไฟในห้องมีน้อย อย่าลืมเตรียมหัวแปลง หรือปลั๊กพ่วงมาด้วยครับ
  • สามารถให้เจ้าของ Guest House โปรแกรมทัวร์, จองเรือล่องแม่น้ำคงคา หรือจองรถแท็กซี่กลับสนามบินได้ ในราคาเพียง 700 รูปี
  • มีชั้นดาดฟ้าให้นั่งชมวิว มองเห็นแม่น้ำคงคาได้ 180 องศาเลย ส่วนอีก 180 องศาเป็นตึกรามบ้านช่อง

 

หลังจากนำกระเป๋าไปเก็บเจ้าของ Guest House แนะนำว่า ให้รีบมาดูพิธีบูชาไฟริมแม่น้ำคงคา ถือเป็นไฮไลท์นึงที่ไม่ควรพลาด

 

 

” คงคาในความทรงจำ “

พอเดินพ้นจากปากตรอกที่มีผู้คนพลุกพล่าน กลับพบแม่น้ำคาคงอยู่ตรงหน้า เหมือนกับผมได้เปิดบทเรียนหน้าต่อไป มีผู้คนมากหน้าหลายตา แต่งตัวหลากสีสัน กลิ่นเครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์ วัวศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวฮินดูนับถือ เรือในแม่น้ำ ผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ มารวมตัวกันเพื่อรอพิธีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา

 

 

พิธีบูชาไฟ หรืออารตี ชาวฮินดูเชื่อว่า พิธีกรรมจะไม่สมบูรณ์ถ้าหากไม่บูชาด้วยไฟ

ในทุก ๆ วันที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ และอีกไฮไลท์ที่แนะนำคือ ลงไปชมพิธีอารตีในเรือ ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวต่างชาติ มักนิยมเหมาเรือเพื่อไปนั่งดูจากแม่น้ำขึ้นมา

 

 

 

บทที่ 2 : นมัสเต พาราณสี

วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้า เรามีเวลาทั้งวันที่จะสำรวจชีวิตผู้คนริมแม่น้ำคงคา  ผมออกมาเดินในซอย Bangali Tola ที่คับแคบ แต่เต็มไปด้วยผู้คน และวิถีชีวิต  ซึ่งเมื่อวานผมมาถึงในช่วงค่ำฟ้าเริ่มมืดทำให้เห็นอะไรได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก และเป้าหมายของผมในวันนี้คือ เดินในซอยที่ขนานไปกับแม่น้ำคงคา และเดินไปดูแต่ละท่าน้ำที่อยู่เรียงรายตลอดริมแม่น้ำคงคา

 

เส้นสีฟ้าคือเส้นทางที่ผมเดินตลอดทั้งวันครับ

 

 

วิถีชีวิตของผู้คนในซอย  Bangali Tola ที่เป็นทางเดินแคบ ๆ ขนานไปกับแม่น้ำคงคา

 

 

อาชีพซ่อมรองเท้า

 

 

ขนมทอดหลากหลายชนิด มีขายตลอดทาง ราคาไม่แพง

 

ขอลองกินฝีมือคนอินเดียแท้ ๆ สักหน่อย

พูดถึงอาหารในย่านนี้มีร้านที่ฝากท้องได้หลายร้านมากครับ อย่างเช่นร้านนี้ อยู่ในซอยที่ติดกับ Guest House พ่อครัวจะใส่เสื้อเชิ้ต แขนยาวมานั่งรอลูกค้า พอเราเข้าไปนั่ง และสั่งอาหารก็จะถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อกล้าม ผมกิน 2 มื้อ ก็เป็นแบบนี้ทั้งสองมื้อ ดูเก๋ดี

  • เมนูแนะนำ มาซ่าล่า ไก่ และ โคม่า ไก่(แกงใส่โยเกิร์ต) อยากให้ลองครับ เฉลี่ยเมนูละประมาณ 160 รูปี
  • น้ำอัดลม หรือน้ำส้ม แนะนำให้เทใส่แก้ว ไม่ควรกระดกจากขวดโดยตรง
  • ร้านข้าวอยู่ติดทางเดิน คนค่อนข้างพลุกพล่าน
  • และที่สังเกต ร้านที่อยู่ในตึก ผมไม่เห็นคนอินเดียเข้ามาใช้บริการเลย เห็นแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
  • ถ้าไม่รู้จะกินร้านไหนดี ง่ายที่สุดคือ เจอต่างชาตินั่ง ร้านไหน ก็เข้าไปลองร้านนั้นครับ
  • ข้าวที่เสิร์ฟ มักมากับช้อนแค่คันเดียว

 

 

ครึ่งบ่ายของวันที่สอง

หลังจากกินข้าวเสร็จผมเดินเลาะมาที่แม่น้ำคงคาอีกครั้ง หาที่นั่งเหมาะๆ  วางกล้องลง ให้ตัวผมหยุดนิ่ง นั่งมองผู้คนที่อยู่ข้างหน้า ดำเนินชีวิตไปอย่างช้า ๆ ราวกับเมืองนี้ไม่เคยหลับใหลตลอด 4,000 ปีที่ผ่านมา แม่น้ำคงคามีต้นกำเนิด มาจากเทือกเขาหิมาลัย ชาวฮินดูเชื่อว่าแม่น้ำคงคาได้ไหลผ่าน พระเศียร ของพระศิวะก่อนไหลลงสู่โลกมนุษย์ ทำให้แม่น้ำคงคามีความศักดิ์สิทธิ์

 

ผู้คนจึงมาทำกิจกรรมทุกอย่างที่แม่น้ำ เพราะเชื่อว่าจะปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และนำสิริมงคลมาสู่ตนเอง

 

 

การถ่ายรูปในเมืองพาราณสี เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ก็ควรขออนุญาตก่อน ขอทานก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน ผมจะไม่บอกว่า ควร หรือไม่ควรให้ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์บางแห่งถ้าผมให้ ก็จะมีขอทานคนอื่นเดินตามมากันอีกหลายคน และถ้าตรงไหนปลอดคน ถ้าจะให้บ้างเพื่อต่อชีวิตคนเหล่านี้ ก็ยินดีครับ

 

 

มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาพาราณสี คือการล่องเรือในแม่น้ำคงคา

ตอนเตรียมข้อมูลหลายเว็บบอกว่า ไม่ควรเกิน 150 รูปี/ชั่วโมง แต่เจ้าของ Guest House บอกว่า 100 รูปี/ชั่วโมง คือราคาที่เหมาะสมไม่ควรเกินนี้

 

แล้วผมจ่ายไปเท่าไหร่

สารภาพเลยว่า ราคาสุดท้ายที่ผมได้คือ + ครึ่งชั่วโมง 300 รูปี +  ผมบอกไม่ได้ว่าแพงหรือไม่แพง ถ้าเทียบกับเรทที่ควรจะเป็น ผมขอยกคำพูดนึงของคุณ Pipatpong ที่เคยมาเที่ยวพาราณสีไว้ก่อนหน้านี้ว่า

“ผมคิดย้อนไปเทียบกับเรือกอนโดล่าที่เวนิส ที่อัตราค่าบริการมาตรฐานอยู่ที่ 80 ยูโร / ครึ่งชั่วโมง (เกือบๆ 3,000 บาท) ผมรู้สึกโกรธตัวเองเหมือนกัน ว่าไมน่าไปต่อลุงแกเลย ตอนเวนิสราคาขนาดนั้น ผมจ่ายไปแบบไม่คิดมากมาที่นี่คิดเป็นเงินไทยแล้วโคตรถูก บรรยากาศก็ดีมาก ลุงแกก็อัธยาศัยดี ก็ยังกล้าๆ ไปต่อแกอีกเนอะ กับเงินแค่ไม่กี่สิบบาท”

 

 

หลังจากที่นั่งเรือเที่ยวในแม่น้ำคงคาเสร็จ ผมก็มุ่งหน้าไปท่าน้ำ Manikarnika Ghat  เพราะมีอีกที่หนึ่งซึ่งเมื่อมาถึงพาราณสีแล้วต้องไปดูให้เห็นกับตาให้ได้ นั่นก็คือ พิธีเผาศพ ของชาวฮินดู

 

ถ้ารู้สึกเหงา แค่พูด Hello ให้ใครสักคน

 

ระหว่างทางเจอผู้หญิงนึงกำลังเดินไปทางนั้นพอดีเลยลองทักดู ผม Hello ไป เธอก็ Hello ตอบ ก็เริ่มคุยจนทราบว่า เธอเป็นนักศึกษาชาวฝรั่งเศส ทำวิจัยอยู่ที่เมืองโกกัลต้า เดินทางมาพาราณสีคนเดียว ด้วยรถไฟ ก็คุยไปเรื่อยเปื่อย จนเดินมาถึงบริเวณที่มีการเผาศพ

 

 

Manikarnika Ghat ท่าน้ำสู่สรวงสวรรค์

บันทึกจากคำบอกเล่าเล็กๆ น้อยๆ จากคนท้องถิ่นเล่าให้ผมฟัง

  • ข้อแรกที่เป็นกฎเหล็กคือ การให้เกียรติ ห้ามถ่ายรูปในบริเวณพิธีโดยเด็ดขาด
  • มีการเผาศพตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เคยหยุด วันหนึ่งเกินร้อยศพ
  • ศพแรกไฟมอด ศพสองเตรียมฟืนต่อทันที
  • ลักษณะริมตลิ่งจะเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงไป
  • ชั้นนึงจะเผาได้ประมาณ 5 – 10 ศพ แล้วแต่ความกว้าง
  • แต่ละชั้นแบ่งตามวรรณะ
  • 1 ศพ ต้องใช้ฟืน 70 กิโลกรัม ใช้เวลาเผาประมาณ 3 ชั่วโมง
  • ศพที่ไม่สามารถเผาได้ ตามข้อกำหนดของศาสนาฮินดูจะห่อศพ และลอยลงในแม่น้ำคงคา เช่น เด็ก หรือคนที่ประสบอุบัติเหตุ

 

ผมยืนดูการเผาศพประมาณ 20 นาที ทั้งควันและเศษขี้เถ้า ตลบอบอวล ติดตามผม และเสื้อผ้า แต่ตอนนั้นผมกลับไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวนะ  เพราะด้วยความเป็นวิถีชีวิตที่ชาวฮินดูปฏิบัติกันมานับร้อย นับพันปีจนทุกอย่างดูเรียบง่าย เป็นปกติ เมื่อมีคนเสียชีวิต คนเป็นก็ช่วยประกอบศาสนพิธี ส่งร่างผู้วายชนม์ สู่สวรรค์

 

 

Nepali Temple

จากจุดเผาศพ ผมเดินลัดเลาะตามคำแนะนำของคนท้องถิ่นเพื่อมาที่วัดเนปาล ซึ่งเป็นอีกวัดที่มีความเก่าแก่ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ตั้งอยู่ติดแม่น้ำคงคา จะเห็นโค้งน้ำที่สวยงามได้จากจุดนี้ครับ ต้องเสียค่าเข้าชม 20 รูปี

 

 

BABA LASSI เป็นอีกร้านที่ควรมาลอง

ช่วงเย็นก่อนแยกย้ายเข้าที่พัก ชาวฝรั่งเศสชวนผมมาลองกิน Lassi ในซอย Bangali Tola ใกล้ ๆ กับ Guest House ที่ผมพัก นิดเดียวเอง มีความสนุกตรงที่จากจุดเผาศพ ก็ต้องเดินลัดเลาะตามซอยแคบ มาเรื่อย ๆ เกือบครึ่งชั่วโมง ทีแรกก็กังวลว่าร้านจะอยู่ไกล เพราะจีพีเอส ผมจับตำแหน่งไม่ค่อยได้ อ้าว แต่พอยิ่งเดิน ทางยิ่งคุ้น มาออกซอยแถว ๆ ที่พักผมนี่เอง

 

 

 

Lassi คือโยเกิร์ต ใส่เครื่องต่าง ๆ เช่น Apple Lassi , Mango Lassi, Lemon Lassi อย่างในมือผมคือโยเกิร์ตใส่มะนาว หรือ Lemon Lassi เสิร์ฟในถ้วยดินเผา ราคาประมาณ 70 รูปี

 

ในร้านจะมีผนังที่คุณสามารถติดรูปตัวเอง หรือจะฝากลายเซ็นไว้ก็ได้ เท่าที่มองดูคือมีคนเกาหลีแวะเวียนมาที่ร้านนี้เยอะมาก ก่อนที่ผมจะลุกออกไป ก็มีนักท่องเที่ยวเกาหลีกลุ่มใหญ่เข้ามาที่ร้านพอดี ฉะนั้นแล้ว แนะนำต้องมาลองให้ได้ครับ

 

 

ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ผมเดินกลับไปดูพิธีอารตี ที่ริมแม่น้ำคงคาอีกรอบนึง แต่ว่าดูไม่จบก็กลับมานอนพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางกลับในเช้ามืดในวันรุ่งขึ้น ผมแนะนำว่าเมื่อกลับไปถึงให้แจ้งทางโรงแรมไว้เลยครับ ว่าให้จองแท็กซี่ให้ด้วยตอนเช้า ถ้าเดินหาเองลำบากแน่นอน

 

 

 

 

บทที่ 3 : อำลาพาราณสี

ในวันสุดท้ายผมตื่นมาเตรียมตัวตี 5 อาบน้ำเก็บของให้เรียบร้อย และลงมารอรถแท็กซี่ ที่ให้เจ้าของ Guest House จองไว้ให้ตอน 6 โมงเช้า ตอนลงมาคนขับรถมารออยู่ก่อนแล้ว ใช้เวลาเดินจากที่พักไปถนนใหญ่อีกประมาณ 10 นาที วันนี้ค่อนข้างแฉะเพราะเมื่อคืน มีฝนตกลงมา แต่ทุกอย่างราบรื่นครับ คนขับรถพาผมกลับมาส่งถึงสนามบินตอน 7 โมงครึ่ง ทันเที่ยวบินตอน 10 โมง 15 นาที

  • ถ้าเทียบจากเวลาที่ผมมาถึง ออกจากโรงแรมประมาณ 7 โมงครึ่งก็ทันครับ
  • ตอนเช้ารถติดมาก  ถนนในเมืองค่อนข้างเล็กครับ ทำให้รถวิ่งลำบาก
  • ตอนเช้ามาหาอะไรกินที่สนามบินก็ได้ครับ ราคาไม่แพงมาก

 

Self Check In

ถ้าไม่มีสัมภาระโหลดสามารถพิมพ์ Boarding Pass ที่เครื่องนี้เดินผ่าน Security ได้เลย หรือจะไป Check In ที่เคาน์เตอร์ กับเจ้าหน้าที่ก็ได้เช่นกัน

  • ถ้าใช้ E-Boarding Pass ที่เป็น QR Code เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จะให้เราเดินกลับออกไป รับตั๋วกระดาษที่เครื่อง Self Service หรือกับเจ้าหน้าที่ ที่เคาน์เตอร์เช็คอินเท่านั้นนะครับ****
  • เนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัยจำเป็นต้องประทับตราลงบน Boarding Pass เท่านั้น

 

Terminal 3 Check-in Row A

สำหรับเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบิน Jet Airways อยู่ที Row A และ Row B ครับ

  • Row A สำหรับเที่ยวบิน ต่างประเทศ(International)
  • Row B สำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ (Domestic)

 

Food Court บริเวณชั้นลอย

 

 

Surya The Resplendent One

 

Bye bye India

ขากลับเดินทางด้วยเที่ยวบิน 9W66 Delhi-Bangkok ออกเดินทางเวลา 13:55 มาถึง กรุงเทพประมาณ 2 ทุ่มครับ ขากลับหลังจากทานอาหารเสร็จ ก็หลับยาวจนถึงกทม. เลย

 

 

ในขากลับผมนั่งทางด้านขวา ติดตามเส้นทางจาก Jet Screen ที่มีให้บริการบนเครื่อง ไม่นานเมืองพาราณสีทั้งเมืองปรากฎอยู่ตรงหน้า ผ่านหน้าต่าง บานเล็กๆ

Prepare for Landing

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ ไปเที่ยวกันมั้ย by Penguint และสายการบิน Jet Airways ที่มอบประสบการณ์เดินทางที่มีค่าในครั้งนี้ครับ

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม

ไปเที่ยวกันมั้ย By Penguint 

Jet Airways Thailand

 

 

 

Comments

comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *